top of page
Search

Hoya Barkery ธุรกิจขนมหมาเล็ก ๆ ที่โต 60 เท่าใน 4 ปี เน้นคุณค่าทางสารอาหาร เอาใจสัตว์เลี้ยง

  • nui734
  • Sep 15
  • 2 min read

ชื่อแบรนด์ ‘𝗛𝗼𝘆𝗮 𝗕𝗮𝗿𝗸𝗲𝗿𝘆’ มีที่มาจากเจ้า ‘โฮย่า’ น้องหมาบูลด็อกของ ‘คุณแบ๋ม’ และ ‘คุณทอมมี่’ คู่รักเจ้าของแบรนด์ที่ตัดสินใจรับน้องมาเลี้ยงสมัยเพิ่งเริ่มใช้ชีวิตด้วยกันที่อเมริกา โดยตั้งชื่อตามทีมบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัย Georgetown ที่คุณแบ๋มได้มีโอกาสไปเรียน ซึ่งทีมโฮย่าก็มีหมาบูลด็อกเป็นมาสคอตประจำทีมนั่นเอง

ree

เมื่อรับเจ้าสี่ขาเข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัว โฮย่าก็ได้สร้างความสุขและมอบความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขให้กับทุกคนในบ้าน ยิ่งพอคุณแบ๋มให้กำเนิดลูกชายตัวน้อย โฮย่าก็เปรียบเสมือน ‘พี่ชายคนโต’ ที่คอยอยู่เคียงข้างน้อง ซึ่งการมีโฮย่าเข้ามาในชีวิตนับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ และแรงผลักดันให้แบรนด์ค่อย ๆ เติบโตจนก้าวสู่ปีที่ 4 อย่างที่คุณทอมมี่กล่าวว่า “ ถ้าไม่มีโฮย่าก็คงไม่มี Hoya Barkery ”

ree

สุขภาพมาก่อนรูปลักษณ์ ขนมหมาแบบ Hoya Barkery หากใครเห็นขนมน้องหมาจาก Hoya Barkery ครั้งแรกอาจรู้สึกตกใจเล็กน้อย ซึ่งคอนเซปต์ของแบรนด์ไม่ได้ต้องการขายความแปลกหรือ Exotic แต่อย่างใด เพราะสิ่งที่แบรนด์เน้นคือคุณค่าสารอาหารที่หลากหลายจากธรรมชาติ มีตั้งแต่วัว เป็ด กระต่าย จระเข้ ที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด

.

คุณแบ๋ม : “เวลาเรากินอยู่อย่างเดียวเยอะ ๆ ซ้ำ ๆ ร่างกายมันก็เกิดอาการแพ้ เช่นเดียวกับน้องหมาที่จะแพ้ไก่กันเยอะ เพราะไก่เป็นโปรตีนราคาถูกที่มักนำมาทำอาหารเม็ดหรือขนมหมา ซึ่งพอกินเข้าไปเยอะ ๆ ร่างกายก็ต่อต้าน ดังนั้นตามหลักโภชนาการสัตว์เลี้ยงเขาก็ต้องการสารอาหารที่หลากหลาย”

.

“อีกอย่างคือต้องผ่านกระบวนการแปรรูปหรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด เพราะแบ๋มรู้สึกว่าสินค้าในตลาดสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่จะทำมาเพื่อเอาใจพ่อหมาแม่หมา เขาจึงดีไซน์รูปลักษณ์ของสินค้าให้ออกมาดูน่ารัก มีสีสัน หรือบางครั้งก็ใช้วัสดุสังเคราะห์ ซึ่งบางอย่างมันไม่ได้ปลอดภัย 100% เพราะฉะนั้นทาร์เก็ตเราจึงไม่ใช่พ่อหมาแม่หมา แต่สัตว์เลี้ยงต่างหากที่เป็นลูกค้าของเรา”

ree

เพราะอยากให้น้องหมามีชีวิตที่ดีกว่าเดิม หลังจากใช้ชีวิตในอเมริกามา 10 กว่าปีก็ได้เวลาที่คุณแบ๋มต้องบินกลับมาอยู่ไทย พร้อมกับคุณทอมมี่และลูกชายคนเล็ก รวมถึงโฮย่าพี่ชายคนโตในฐานะสัตว์ที่ช่วยซัปพอร์ตจิตใจ (Emotional support animal หรือ ESA) ซึ่งอเมริกาอนุญาตให้ขึ้นเครื่องบินได้

.

พอลงหลักปักฐานที่ไทยแล้ว คุณแบ๋มและคุณทอมมี่ก็รับหมามาเลี้ยงเพิ่มอีกตัวชื่อเจ้า ‘อาโย’ (มีที่มาจากชื่อ ‘Hoya’ สะกดย้อนหลังเป็น ‘Ayoh’) โกลเด้นรีทริฟเวอร์จากจังหวัดเชียงรายที่เคยถูกทอดทิ้งแถมโดนวางยาเบื่อจนป่วยขั้นโคม่า โชคดีที่มีคุณหมอช่วยชีวิตไว้ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ในบ้านหลังอบอุ่นเป็นเพื่อนเจ้าโฮย่านั่นเอง

.

ความตั้งใจที่จะเลี้ยงหมาสองตัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในไทย ทำให้คุณแบ๋มเห็น Pain point ว่าขนมหมาคุณภาพดีที่ไทยราคาแพงกว่าอเมริกาถึง 2-3 เท่า แถมยังต้องนำเข้าจากอเมริกาในเมื่อที่ไทยก็มีแหล่งวัตถุดิบดี ๆ มากมาย เมื่อมีช่องว่างตรงนี้คุณแบ๋มและคุณทอมมี่ จึงปิ๊งไอเดียธุรกิจขนมหมาที่ดีต่อสุขภาพโดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ 100%

.

คุณแบ๋ม : “เราไม่ได้เริ่มจากการอยากขายได้เท่านั้นเท่านี้ แต่เราอยากนำเสนอสิ่งดี ๆ ให้กับคอมมูนิตี้ การทำแบรนด์สำหรับแบ๋มมันเลยค่อนข้างง่าย เพราะเป็นสิ่งที่เรารัก เราใส่ใจ และเป็นตัวเรา”

ree

อบทีละชิ้น เพื่อคุณค่าธรรมชาติ 100% การคิดโมเดลธุรกิจอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากในช่วงเริ่มแรกคือการหาแหล่งวัตถุดิบที่ดีและเชื่อถือได้ อย่างหูวัวเป็นส่วนที่เน่าง่าย หากปล่อยไว้สักสองวันหลังจากเชือดขนก็จะเริ่มร่วง ซึ่ง Hoya Barkery ไม่ต้องการเอาขนออกและฟอกสีหูวัวให้ดูดีเพื่อนำมาขาย

.

แต่จะคัดสรรวัตถุดิบที่สดใหม่แล้วนำมาอบแห้งที่อุณภูมิซึ่งสามารถฆ่าเชื้อโรคโดยยังคงสารอาหารเอาไว้ได้เต็มเปี่ยม แต่ละชิ้นใช้เวลาในการอบนาน 24-72 ชั่วโมงเพื่อให้แห้งสนิท ที่สำคัญคือไม่แต่งสี ไม่แต่งกลิ่น ไม่ปรุงรส และไม่ใส่สารกันเสีย เพื่อให้น้องหมาได้รับคุณประโยชน์จากธรรมชาติแบบเต็ม ๆ ซึ่งกระบวนการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของคุณแบ๋มและคุณทอมมี่

.

คุณทอมมี่ : “ช่วงแรกที่ทำมันไม่ได้มีไกด์บอกว่าเราต้องอบกี่วัน หรือต้องมีปริมาณความชื้นเท่าไหร่ เราเลยต้องทดลองเอาเอง เริ่มจากใส่ตู้อบไปหนึ่งวันแล้วเอาออกมาดูว่าได้ไหม พอยังไม่ได้ก็ลองอบเพิ่มเป็นสองวันดูว่าเป็นยังไง บางอันข้างนอกดูสวยแต่ข้างในขึ้นราก็มี เราก็ต้องลองผิดลองถูกและเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด"

.

"ส่วนเทคนิคอื่น ๆ ผมเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้วมันก็ปรับใช้กันได้ อย่างการใช้มีดหรือเรื่องความสะอาด แต่ขนมน้องหมานี้ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเป็นธรรมชาติ 100% มันก็เลยง่ายหน่อย” ปัจจุบันขนมน้องหมาของ Hoya Barkery โดยหลัก ๆ จะแบ่งเป็น 2 ชนิด อย่างแรกคือ ‘Chewing Treats’ ขนมสำหรับแทะที่มีคุณสมบัติช่วยขัดฟัน นอกจากนี้ ขนมขัดฟันบางชิ้นที่มีขน เช่น หูวัว หูกระต่าย ยังสามารถเข้าไปช่วยกวาดพยาธิในลำไส้ด้วย

ree

.

คุณแบ๋ม : “แบรนด์ของเราเริ่มต้นจาก Chewing Treats เพราะก่อนจะมี Hoya Barkery สินค้าที่มีอยู่ทั่วไปในตลาดสัตว์เลี้ยง มักจะเป็นของเล่นยางขัดฟันที่เป็นวัสดุสังเคราะห์ ไม่ก็เป็นขนมที่มีการแปรรูปเยอะซึ่งอาจไม่ดีต่อสุขภาพน้องหมา เราจึงคิดว่าถ้าคนอยากกินอะไรที่มาจากธรรมชาติ น้องหมาก็เช่นกัน”

.

ส่วน ‘Training Treats’ คือขนมสำหรับให้เป็นรางวัลน้องหมาในการฝึกคำสั่งใหม่ ซึ่งคุณแบ๋มคอนเฟิร์มว่าเป็น ‘High value reward’ หรือรางวัลที่มีคุณค่า เพราะนอกจากจะอร่อยถูกใจน้องหมายังเป็นขนมที่โปรตีนสูง ไขมันต่ำ ย่อยง่าย แม้แต่หมาอ้วนที่ต้องลดน้ำหนักก็สามารถกินได้ อีกทั้งแต่ละวัตถุดิบยังมีคุณค่าสารอาหารที่แตกต่างกัน

ree

.

ไม่เพียงเท่านั้น Hoya Barkery ยังต่อยอดโปรดักส์ออกมาเป็น ‘Nutrition Dash’ หรือ Meal Topper แบบผงที่ใช้โรยบนอาหารหลักสำหรับน้องหมาที่กินยากให้กินได้มากขึ้น และอีกหนึ่งตัวเลือกอย่าง ‘Nutri Blend’ ซุปข้นบำรุงสุขภาพที่จะใช้เป็น Meal Topper หรือป้ายบน Lick mat ให้น้องกินเล่นก็ได้ ซึ่งแต่ละโปรดักส์ของ Hoya Barkery ล้วนใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% และดีต่อสุขภาพน้องหมาแน่นอน

ree

ไม่ใช่แค่พ่อแม่แม่หมาที่อยากให้สัตว์เลี้ยงแสนรักมีสุขภาพดี เพราะเหล่าทาสแมวก็มีเจ้าเหมียวที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเช่นกัน Hoya Barkery จึงแตกไลน์สินค้ามาเอาใจน้องแมวโดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า ‘Hoya Purrkery’ เปลี่ยนจากคำว่า ‘Bark’ ที่แปลว่า เห่า เป็น ‘Purr’ ที่เป็นเสียงครางของน้องแมวเวลาพึงพอใจ

ree

จากแบรนด์ที่เริ่มต้นด้วยความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยง สะท้อนออกมาในเรื่องราวของแบรนด์ที่ชวนอบอุ่นและโปรดักส์ที่จริงใจ Hoya Barkery และ Hoya Purrkery จึงเป็นแบรนด์ที่มีลูกค้าประจำเหนียวแน่นและใช้หลักมาร์เก็ตติ้งแบบปากต่อปาก

.

คุณแบ๋ม : “เราเริ่มต้นด้วยรากฐานที่ค่อนข้างแน่น คือมีแบรนด์ดิ้งที่ชัดเจนและมีเว็บไซต์มาตั้งแต่แรก ซึ่งแบ๋มมีภูมิหลังทางด้าน Healthcare และเราเน้นเรื่องคุณค่าทางโภชนาการ จึงให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ ต่างจากแบรนด์สัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ที่มักจะนำเสนอความน่ารักหรือสีสันสดใส อีกอย่างคือถ้าเราสร้างคุณค่าให้สินค้าเราได้ มันจะทำให้คนอยากได้สินค้านี้ แทนที่จะไปยัดเยียดขายหรือแข่งกับใครด้วยราคาซึ่งมันเป็นวิธีการที่ไม่ยั่งยืน”

.

“แต่สุดท้ายแล้วแบรนด์จะยั่งยืนหรือไม่ขึ้นอยู่กับเราต้องรักษาคุณภาพไว้ให้ได้ นั่นอาจแลกมากับการที่แบรนด์อาจโตได้ไม่ไว เพราะถ้าเราโตไวแล้วคุมคุณภาพไม่ได้ เราก็จะเสียลูกค้าเดิมที่เขารู้สึกว่าสินค้าเราไม่ดีเท่าเดิม เพราะฉะนั้นเราอยากได้ลูกค้าแค่ร้อยคนที่มาซื้อเราบ่อย ๆ ดีกว่าได้ลูกค้าใหม่อีกเก้าร้อยคน แต่ลูกค้าประจำเราหายไป”

.

“ทุกวันนี้เวลามีแบรนด์อื่น ๆ งอกมา เรารู้สึกว่าลูกค้าเราไม่ได้หายไปไหนเลย เราจะบอกกับน้อง ๆ ในทีมเสมอว่า การวัดความสำเร็จของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดขาย แต่มันอยู่ที่ฟีดแบ็กของลูกค้าที่เปิดกล่องมาแล้วเขาเห็นถึงความใส่ใจหรือคำขอบคุณที่มีให้เรา ซึ่งแปลว่าเขาประทับใจกับสิ่งที่เรามอบให้แล้วเขาจะกลับมาซื้ออีก” แม้ว่าโฮย่าเจ้าหมาบูลด็อกที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ Hoya Barkery จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ความทรงจำดี ๆ จะยังคงอยู่ในใจของคุณแบ๋มและคุณทอมมี่ตลอดไป

ree

Let’s grow old together: ดูแลน้องหมาให้สุขภาพดีทุกช่วงวัย คุณทอมมี่ : “อนาคตเราอยากโฟกัสให้หมาสูงวัยมีความสุขด้วย เราอยากทำวิตามินให้เขาสุขภาพดีขึ้น เดี๋ยวนี้คนสูงวัยเขามีการดูแล Aging Care กันเยอะแล้ว แต่ในตลาดสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ยังมองหมาเป็นแค่ลูกหมาหรือหมาเด็ก แต่ไม่มีใครมองว่าหมาก็เหมือนคนที่ต้องแก่ลงเหมือนกัน”

.

คุณแบ๋ม : “Let’s grow old together ที่อยู่ในโลโก้มันย้ำเตือนว่าเราอยู่ในธุรกิจนี้เพื่ออะไร สินค้าทุกตัวภายใต้แบรนด์ Hoya Barkery จะต้องตอบโจทย์นี้ว่ามันสามารถช่วยให้หมามีสุขภาพที่ดีขึ้น หนึ่งในประเด็นที่ทำให้เราอยากมาอยู่ตรงนี้ เพราะเราได้คุยกับหลาย ๆ คนที่เคยเลี้ยงหมาแต่ไม่อยากเลี้ยงแล้ว เพราะเขาทนไม่ได้กับการต้องเห็นโมเมนต์สุดท้ายที่หมาเขาป่วยและทรมาน แบ๋มรู้สึกว่าหมาเขาอยู่กับเรามา 15 ปี เขาให้ความสุขเรามาตั้ง 14 ปี ความทุกข์ที่เรามีใน 1 ปีสุดท้าย มันไม่น่าทำให้คนหนึ่งเปลี่ยนใจที่จะไม่รับหมาตัวใหม่ ภาพสุดท้ายมันไม่ควรเป็นภาพที่แย่จนกลบ 14 ปีที่ผ่านมาขนาดนั้น”

ree

.

“ดังนั้นเราเลยอยากทำโปรดักส์ที่อาจไม่ได้ช่วยให้หมาอายุยืนขึ้น เขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ 14 ปีเท่าเดิม แต่อย่างน้อยช่วงสุดท้ายของชีวิตเขามันต้องเป็นช่วงเวลาที่ดี เป้าหมายของเราคือการขยาย ‘Healthspan’ (ช่วงเวลาที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี และสุขภาพที่แข็งแรง) แทนที่จะเป็นคำว่า ‘Lifespan’ (การมีอายุยืนยาว) เราไม่ต้องนับว่าเขาจะอยู่ได้อีกกี่ปีกี่วัน แต่วันที่เขาอยู่ต้องเป็นวันที่เขาได้อยู่อย่างมีคุณภาพ” ยอดขายครั้งเดียวไม่ยั่งยืน ความผูกพันต่างหากที่ทำได้ มีลูกค้า 100 คนที่ซื้อซ้ำแล้วซ้ำอีกดีกว่ามีลูกค้า 1000 คนที่ซื้อครั้งเดียว CRM เป็นการสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์และลูกค้า 📈 การเติบโตแบบก้าวกระโดด จาก 3 แสน สู่ 18 ล้าน

  • ปีแรก Hoya Barkery เริ่มต้นจากไอเดียและความตั้งใจของคุณแบ๋มและคุณทอมมี่ ด้วยยอดขายเพียง 300,000 บาท ถือว่าเป็นจุดเริ่มเล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยการลองผิดลองถูก ทั้งการหาวัตถุดิบที่สดใหม่ การทดลองอบแห้ง การสร้างแบรนด์ที่ยืนบนคุณค่าจริง ๆ

  • ปีที่ 2–3 ธุรกิจเริ่มขยายจากการบอกต่อของลูกค้าที่พอใจในคุณภาพ เกิดเป็นลูกค้าซื้อซ้ำ สร้างคอมมูนิตี้คนรักน้องหมาที่มองหาของดี ปลอดภัย และแตกต่างจากตลาดทั่วไป ทำให้ยอดขายโตต่อเนื่องหลายเท่าตัว

  • ปีที่ 4 Hoya Barkery มียอดขายทะลุ 18 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 60 เท่าใน 4 ปี จุดแข็งไม่ใช่การทำการตลาดความสวยงามให้พ่อแม่น้องหมา แต่คือการยึดสัตว์เลี้ยงเป็น “ลูกค้าแท้จริง” เน้นโภชนาการและสุขภาพที่ยั่งยืน

    ree

    Promotion สำหรับคนอ่าน Blog นี้ โปร ลด 20% สั่งผ่านเว็บไซต์ www.hoyabarkery.com

    Promotion สำหรับคนอ่าน Blog นี้ 👉 www.hoyabarkery.con

    👉 Line :@hoyabarkery

    ree


 
 
 

Comments


957 ถนนศรีนครินทร์
แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง
กรุงเทพมหานคร 10250
โทร 095 461 4974
Call : 095 461 4974
Email : info@advoplusth.com
Line : @advocado
L_gainfriends_2dbarcodes_BW.png
bottom of page